Share

The Problem of Packaging Waste that Arises from Today's E-Commerce Business (TH)

การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) นำไปสู่พฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป โดยพบว่ามีการปรับเปลี่ยนไปใช้ E-Commerce มากขึ้นและเร็วขึ้น ผู้บริโภคถูกบังคับให้คุ้นชินและต้องปรับตัวกับการซื้อของใช้ประจำวันและสินค้าอื่น ๆ ผ่านช่องทางออนไลน์แทน เมื่อจะต้องเผชิญหน้ากับการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่ส่งผลให้เกิดการล็อกดาวน์ และการเว้นระยะห่างทางสังคม ซึ่งเมื่อการซื้อของออนไลน์กลายเป็นกิจวัตรประจำวันของผู้บริโภคไปแล้วนั้น ทำให้พวกเขาเปิดรับการใช้จ่ายผ่านทาง E-Commerce มากขึ้น ส่งผลต่อผู้ประกอบการดั้งเดิมที่ต้องเร่งปรับตัว โดยหันมาทำ E-Commerce เพื่อรองรับความต้องการในด้านนี้ ทำให้มูลค่าของธุรกิจ E-Commerce เติบโตขึ้นแบบก้าวกระโดดและเมื่อมีการทำธุรกิจ E-Commerce กันมากขึ้น”วัสดุกันกระแทก”ประเภทต่าง ๆ ก็ยิ่งใช้กันมากขึ้นตาม

แต่อย่างไรก็ตาม การเติบโตแบบก้าวกระโดดของธุรกิจ E-Commerce นี้ได้สร้างผลกระทบต่อโลกและสิ่งแวดล้อมโดยที่เราไม่ได้ตระหนักถึง ซึ่งหลัก ๆ ก็คือสิ่งที่เรียกว่า “ปัญหาขยะแพ็คเกจจิ้ง”หรือ “วัสดุกันกระแทก” ซึ่งในการแพ็คสินค้าและขนส่งสินค้านั้น ต้องใช้วัสดุกันกระแทก เช่น แอร์บับเบิ้ลพลาสติก, โฟม PPE หรือวัสดุกันกระแทกพลาสติกอื่น ๆ ในการป้องกันสินค้าเพื่อไม่ให้สินค้าเกิดความเสียหายจนถึงมือผู้รับมากไปกว่านั้นวัสดุเหล่านี้ส่วนใหญ่แล้วมักจะไม่นิยมนำกลับมาใช้ซ้ำเนื่องจากเสื่อมสภาพอีกด้วย

ธุรกิจ E-Commerce คืออะไร ?

ธุรกิจ E-Commerce ถือว่าเป็นธุรกิจรูปแบบใหม่ในปัจจุบันที่มีอิทธิพลในการใช้ชีวิตของผู้คนในปัจจุบันและได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ซึ่งรูปแบบของธุรกิจ E-Commerce หรือธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เป็นธุรกิจที่ดำเนินการซื้อขายสินค้าและบริการผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ หรืออินเตอร์เน็ต หรือที่เรียกว่าการซื้อขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์นั่นเอง

ปัญหาขยะที่เกิดขึ้นจากธุรกิจ E-Commerce

ขยะพลาสติกที่เกิดจากการขนส่งสินค้าเพียง 1 ชิ้น ก็สามารถสร้างปัญหาขยะตามมาได้อย่างมากมาย ทั้งในส่วนของ กล่อง เทปกาว แอร์บับเบิ้ล หรือวัสดุกันกระแทกอื่น ๆ ซึ่งวัสดุเหล่านี้ล้วนสร้างปัญหาให้แก่สิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศน์เป็นอย่างมาก ซึ่งปัจจัยหลักของปัญหาขยะที่เกิดขึ้น ณ เวลานี้คือขยะประเภทพลาสติกหรือโฟม ขยะเหล่านี้ใช้ระยะเวลาในการย่อยสลายที่ยาวนานแตกต่างกันออกไป ซึ่งเป็นสาเหตุของปัญหาขยะสะสม และส่งผลให้เกิดมลพิษต่อไปเป็นทอด ๆ อีกด้วย

1. ขยะพลาสติก

ปัญหาขยะพลาสติกล้วนสร้างปัญหาต่อระบบนิเวศน์ในทุก ๆ ที่ ไม่ว่าจะเป็นพื้นน้ำ หรือพื้นดิน
ซึ่งระยะเวลาในการย่อยสลายต้องใช้ถึง 450 ปี เมื่อเริ่มเข้าสู่ขั้นการย่อยสลายขยะพลาสติกจะแตกตัวเป็นไมโครพลาสติกและแทรกซึมเข้าสู่สิ่งแวดล้อมและนำพามาสู่ปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

2. แอร์บับเบิ้ล

ปัญหาขยะแอร์บับเบิ้ลที่นำมาใช้เป็นวัสดุกันกระแทกในการแพ็คสินค้าก็เป็นปัญหาของขยะพลาสติกเช่นเดียวกัน ซึ่งใช้ระยะเวลาในการย่อยสลายถึง 450 ปี หรือหากปล่อยย่อยสลายตามธรรมชาติใช้เวลามากถึง 10-1,000 ปี ซึ่งขยะแอร์บับเบิ้ลมีปริมาณที่มากขึ้นทุกวัน เพราะมาจากธุรกิจ E-Commerce ที่ผู้คนนิยมกันมากขึ้นในปัจจุบัน แต่การย่อยสลายและกระบวนการในการทำลายพลาสติกใช้ระยะเวลามากจนเกินไป จนในที่สุดจะสร้างปัญหาได้มากมายไม่ใช่แค่ปัญหาขยะพลาสติกธรรมดาอีกต่อไป

3. ขยะโฟม

ปัญหาขยะโฟมถือว่าเป็นปัญหาขยะที่ยิ่งใหญ่ เนื่องจากโฟมนั้นไม่สามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติหรืออาจใช้เวลาในการย่อยสลายโดยไม่มีกำหนด หากนำมาใช้งานในปริมาณมากจะส่งผลให้เกิดปัญหาขยะสะสมและก่อให้เกิดสารพิษปนเปื้อนลงสู่สิ่งแวดล้อมได้และถ้าหากนำไปเผาทำลายก็จะสร้างมลพิษทางอากาศได้อีกเช่นกัน

4. ขยะเยื่อและกระดาษ

ปัญหาขยะเยื่อและกระดาษอาจมีไม่มากมายนัก เนื่องจากขยะเยื่อและกระดาษใช้ระยะเวลาในการย่อยสลายน้อยอยู่ระหว่าง 2-5 เดือน และสามารถนำกลับมารีไซเคิลได้ใหม่ แต่อย่างไรก็ตามควรใช้อย่างคุ้มค่าเนื่องจากเยื่อและกระดาษนั้นผลิตจากต้นไม้ หากใช้ในปริมาณที่มากโดยไม่จำเป็นอาจจะนำไปสู่การทำลายป่าทางอ้อมได้

แนวทางการแก้ปัญหาขยะที่เกิดจากธุรกิจ E-Commerce

การแก้ปัญหาขยะที่เกิดจากธุรกิจ E-Commerce มีหลากหลายแนวทางด้วยกัน หนึ่งในนั้นคือ ลดการใช้วัสดุกันกระแทกพลาสติกเพื่อการขนส่ง และเลือกใช้วัสดุกันกระแทกทดแทน เช่น Bio-Plastic หรือวัสดุทดแทนจากธรรมชาติ เช่น กระดาษ ซึ่งการเลือกวัสดุในการแพ็คสินค้านั้น ต้องมีที่มีประสิทธิภาพที่ดีในการป้องกันสินค้า แต่ก็ต้องช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมได้ด้วย โดยเป็นวัสดุที่ย่อยสลายได้ง่ายตามธรรมชาติ และสามารถนำมาใช้ใหม่ หรือนำไปใช้ประโยชน์ต่อไปได้ เพื่อธุรกิจจะได้เติบโตไปพร้อม ๆ กันกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่อุดมสมบูรณ์กระดาษรังผึ้ง

1. กระดาษรังผึ้ง

กระดาษรังผึ้งกันกระแทก เป็นวัสดุกันกระแทกทางเลือกที่จะเข้ามาช่วยแก้ปัญหาการห่อกันกระแทกสินค้า ด้วยกระบวนการผลิตแบบพิเศษ ที่สามารถเนรมิตวัสดุกระดาษที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมให้กลายมาเป็นตัวช่วยสําคัญในการปกป้องสินค้าได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ตัวกระดาษจะมาในรูปแบบของกระดาษคราฟท์ที่สามารถยืดออก และกลายเป็นโครงสร้างคล้ายรังผึ้ง 3 มิติสําหรับห่อหุ้มสินค้าสามารถรับแรงกระแทกได้เป็นอย่างดี มีความแข็งแรง ทนทาน และมีคุณสมบัติพิเศษในการยึดเกาะสามารถแพ็คสินค้าได้โดยไม่ต้องใช้เทปกาวถือเป็นการลดการใช้พลาสติกและประหยัดต้นทุนได้อีกด้วย อีกทั้งยังช่วยสร้างความประทับใจให้แก่ผู้รับตั้งแต่แรกเปิดกล่องพัสดุ

2. กระดาษเติมเต็ม

กระดาษคราฟท์ Void Fill สำหรับเติมเต็มช่องว่างภายในกล่องพัสดุ ช่วยลดการเคลื่อนที่ของสินค้าภายในกล่องเพื่อป้องกันความเสียหายของสินค้าที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการขนส่ง ตัวกระดาษมีคุณสมบัติในการดูดซับแรงกระแทก ช่วยป้องกันสินค้าที่แตกหักง่าย เป็นอีกหนึ่งวัสดุกันกระแทกทางเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และช่วยลดขยะมลพิษในระยะยาว

3. กระดาษกันกระแทก

เป็นวัสดุกันกระแทกทดแทน ซึ่งเป็นกระดาษคราฟท์ที่ผ่านนวัตกรรมการขึ้นรูปกระดาษหลายชั้น เกิดเป็นกระดาษย่นกันกระแทกที่มีคุณสมบัติในการกันกระแทกที่สูง สามารถลดโอกาสเกิดความเสียหายต่อสินค้าให้น้อยที่สุด เหมาะกับสินค้าที่มีน้ำหนักมากหรือ สินค้าขนาดใหญ่ที่มีความเปราะบาง และต้องการการดูแลเป็นพิเศษ

“การดูแลและใส่ใจในเรื่องของสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องสำคัญอีกหนึ่งสิ่งในการทำธุรกิจ E-Commerce ที่ไม่ควรมองข้ามนอกจากการพัฒนาธุรกิจเพื่อให้ตรงต่อความต้องการตามยุคสมัยแล้ว ยังแสดงถึงความรับผิดชอบที่ดีต่อสังคม เพื่อช่วยให้โลกของเราน่าอยู่ควบคู่ไปกับเทคโนโลยีที่เติบโตยิ่งขึ้นตลอดไป”

Genius Packaging Solution 

ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายวัสดุบรรจุภัณฑ์กันกระแทกสำหรับสินค้าอุตสาหกรรมอย่าง “กระดาษรังผึ้งและกระดาษคราฟท์กันกระแทก” ผลิตจากวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วยการันตี FSC ให้ประสิทธิภาพการกันกระแทกสูงสุด ช่วยปกป้องสินค้าของคุณให้ถึงมือลูกค้าอย่างปลอดภัยพร้อมสร้างความประทับใจตั้งแต่แรกเปิดกล่องพัสดุ

สอบถามรายละเอียดสินค้าเพิ่มเติม

โทรศัพท์ : 098-285-4439 (คุณจีน) , 064-797-9799 (คุณนิว)
Line: @gnsthailand
Email: info@gnsthailand.com
Facebook: Genius Packaging Solution